ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของโสมเกาหลี
- รากโสมเกาหลี มีสาร glycoside (ginsenosides หรือที่รัสเซียเรียกว่า panaxoside) ซึ่งมี steroidal saponin ช่วยจับกับน้ำตาลชนิดต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมี essential oil, trisaccharides peptidoglycan, nucleosides และพบ ginsenosides ในรากแขนงมากที่สุด[1] ส่วนอีกข้อมูลหนึ่งระบุว่า รากพบว่า Panaxosides 0.4% ซึ่งประกอบไปด้วย Panaxosides A, B,C, D, E, F, Panaxatriol, Panaxadiol, Ginsenoside Rg1 และพบน้ำมันระเหย ซึ่งมีสาร Panacen, Panasenoside, Panaxynol, Trifolin เป็นต้น[3]
- ส่วนประกอบที่สำคัญของโสม คือ Ginsenoside ซึ่งโดยทั่วไปแล้วในโสมจะมี ginsenoside อยู่ประมาณร้อยละ 1-2 ของน้ำหนัก ขึ้นอยู่กับชนิดของโสม แหล่งเพาะปลูก รวมถึงกระบวนการผลิตด้วย ในปัจจุบันพบว่าโสมที่มีขายกันอยู่ในท้องตลาดบางชนิดแทบจะไม่มี ginsenoside หลงเหลืออยู่เลย ดังนั้น เมื่อจะหาซื้อโสมมาใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย จึงควรดูส่วนประกอบของโสม คือ ginsenoside เป็นสำคัญ[2]
- โสมมีฤทธิ์เสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย โดยมีฤทธิ์ทำให้ร่างกายมีการปรับตัวเข้ากับอุณหภูมิและสภาพแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม[3]
- จากการศึกษาทดลองกับหนูขาว ได้พบว่าโสมมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทส่วนกลาง แก้ตกใจง่าย ถ้าใช้ในปริมาณมากเกินไปจะมีฤทธิ์ยับยั้งประสาทส่วนกลาง ทำให้ผ่อนคลายการตึงเครียดของประสาทและร่างกายได้[3]
- โสมเกาหลีมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้ต่อมในตับอ่อนหลั่งอินซูลินออกมา มีฤทธิ์ลดระดับคอเลสเตอรอล มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน มีผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง มีฤทธิ์ต้านพิษต่อตับ[1]
- เมื่อปี ค.ศ.2008 ที่ประเทศเกาหลี ได้ทำการศึกษาทดลองจนพบว่า โสมแดงจะมีสาร sapouins เป็นจำนวนมาก ในการศึกษาทดลองพบว่าโสมสามารถช่วยลดระดับไขมันในเลือดสูง เพิ่มเกล็ดเลือด และช่วยป้องกันเส้นเลือดตีบได้ โดยการให้โสมในขนาด 200 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ ซึ่งจะไปยับยั้ง 1, 2-diaeylglycerol ซึ่งมีผลไปกระตุ้นให้ไขมันในเลือดสูง สรุปว่า โสมสามารถช่วยลดระดับไขมันในเลือดสูงได้[1]
- จากการศึกษาฤทธิ์การลดระดับน้ำตาลในเลือดของโสมเกาหลี โดยทำการทดลองในสัตว์ทดลองหลายชนิด คือ หนู กระต่าย สุนัข โดยให้สารสกัดด้วยน้ำร้อนและแอลกอฮอล์ในสัตว์ปกติและสัตว์ที่ทำให้เป็นเบาหวาน ผลการทดลองพบว่าสารสกัดด้วยน้ำร้อนไม่ได้ผลลดน้ำตาลในเลือดทั้งในหนู กระต่าย สุนัข และคน แต่จากการทดลองโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ 67-95% พบว่าให้ผลลดระดับน้ำตาลในเลือด ในกระต่ายและหนูที่ทำให้เป็นเบาหวาน โดยพบว่าสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ในการลดระดับน้ำตาลในเลือด คือ สารซาโปนิน[2]
- ส่วนการทดสอบฤทธิ์การลดระดับน้ำตาลในเลือดในคน เมื่อให้คนไข้เบาหวานจำนวน 21 คน รับประทานโสมในขนาด 2.7 กรัม เป็นระยะเวลา 3 เดือน และทดลองให้พยาบาลที่อยู่เวรดึกรับประทานโสมในขนาด 1.2 กรัม เป็นระยะเวลา 3 วัน ผลการทดลองพบว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้[2] ส่วนอีกการทดลองที่ใช้โสมร่วมกับอินซูลินเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน พบว่าจะทำให้ผลการรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น[3]
- เมื่อปี ค.ศ.2008 ที่ประเทศเกาหลี ได้ทำการศึกษาทดลองผลการลดไขมันในเลือดของโสมแดง ซึ่งมีสาร Insamasanna-eum ที่พบได้มากในรากโสม ซึ่งใช้รักษาผู้ป่วยเส้นเลือดหัวใจตีบ นอกจากนี้โสมแดงยังช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ คอเลสเตอรอลในเลือด โดยทำการศึกษาทดลองในหนูที่ถูกกระตุ้นให้มีไขมันในเลือดสูง เมื่อให้สารสกัดโสมแดงแก่หนูทดลองดังกล่าว พบว่าระดับไขมันในเลือดของหนูลดลง ซึ่งสัมพันธ์กับการลดน้ำหนักตัวของหนู และในการบริโภคโสมระยะยาวยังพบว่าหนูดังกล่าวมี HDL-C เพิ่มมากขึ้น โดยพบตัวยา Insamsansa-eum (ISE) และยับยั้ง pancreatic lipase และการทำงานของ HMG0CoA reductase และทำการทดลองเปรียบเทียบผลในการลดไขมันของโสมแดงกับ Cratacgii หรือ Whitehorn herb ซึ่งพืช Hawthorn นี้ใช้ผลมาทำเป็นอาหารเสริมช่วยในการไหลเวียนของระบบเลือดและหัวใจ และช่วยเกี่ยวกับความดันโลหิตต่ำ โดยพบว่าสามารถให้ผลในการลดไขมันในเลือดได้เช่นกัน แต่จะให้ผลน้อยกว่าโสมแดง ซึ่งในอนาคตอาจมีการนำพืชทั้งสองชนิดนี้มาใช้รักษาผู้ป่วยไขมันในเลือดสูงได้[1]
- จากการทดสอบความเป็นพิษ พบว่า Sapogenin มีความเป็นพิษสูงและมีรายงานการเกิดอาการปวดศีรษะอย่างแรงในหญิงอายุ 28 ปี ที่รับประทานโสมที่สกัดด้วยแอลกอฮอล์ ซึ่งการใช้โสมเป็นระยะเวลานาน ๆ อาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ กระวนกระวาย ซึมเศร้า ท้องเดิน เจ็บเต้านม ประจำเดือนขาด ผื่นคัน และมีอาการบวม[1]
- ส่วนการทดสอบความเป็นพิษในหนูทดลอง เมื่อให้สารสกัดโสมในอาหารหนูหรือสุนัขในขนาด 1.5-15 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลา 13 อาทิตย์ ไม่พบว่ามีความเป็นพิษจากโสมแต่อย่างใด ส่วนการทดลองอีกชิ้นหนึ่ง ที่ให้หนูทดลองกินโสมติดต่อกันนานถึง 25 สัปดาห์ ในขนาด 105-210 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน ก็ไม่เกิดพิษหรืออาการดื้อยาแต่อย่างใด[1] ส่วนขนาดที่ทำให้หนูทดลองตายครึ่งหนึ่งเชื่อว่าคงเป็นขนาด 2 กรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน โดยได้มีการทดลองฉีดสารสกัดโสมเข้าไปในเยื่อบุช่องท้องของหนูทดลอง แต่การทดลองนี้ไม่ได้บอกอาการตอนใกล้ตาย หรือสาเหตุการตายไว้[2]